การที่มีกลิ่นตัวแรงสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การสะสมของเหงื่อและแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือปัจจัยภายนอกต่างๆ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีต่างๆประมาณนี้ครับ
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า การที่มีกลิ่นตัวมาจากต่อมเหงื่อทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียบนร่างกายครับ ถ้าเราสามารถระงับต่อมเหงื่อให้ออกน้อยลง และช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นได้ครับ แก่นของมันก็ประมาณนี้เลย เผื่อใครยังไม่เห็นภาพเราไปเริ่มเป็นข้อๆดีกว่าครับ
วิธีรักษากลิ่นตัว
- การรักษาความสะอาด
- อาบน้ำสม่ำเสมอ: ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่เหงื่อออกมาก เช่น หลังออกกำลังกายหรือทำงานหนัก
- ใช้สบู่ที่ช่วยลดกลิ่น: เลือกสบู่ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัว
- ล้างบริเวณที่มักมีเหงื่อออกมาก: เช่น รักแร้, ฝ่ามือ, ฝ่าเท้า และบริเวณที่มีเหงื่อออกเยอะ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
- โรลออน/สเปรย์ระงับกลิ่น: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดกลิ่นเหงื่อ เช่น โรลออน, สเปรย์ระงับกลิ่นกาย หรือยาทา ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เหงื่อออกมากเกินไปและลดกลิ่น
- แป้งฝุ่น: การทาแป้งฝุ่นในพื้นที่ที่มีเหงื่อออกมากช่วยดูดซับความชื้นและลดการสะสมของแบคทีเรีย
- การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม
- ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ซึ่งจะช่วยระบายเหงื่อได้ดีและไม่ทำให้เกิดการสะสมของความชื้น
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าหนาเกินไป: เสื้อผ้าที่หนาหรือไม่ระบายอากาศอาจทำให้เกิดเหงื่อและกลิ่นตัวมากขึ้น
- การควบคุมอาหาร
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กลิ่นตัวแรง: เช่น อาหารที่มีเครื่องเทศร้อน, กระเทียม, หัวหอม, และอาหารที่มีน้ำมันหรือไขมันมาก อาหารเหล่านี้อาจทำให้กลิ่นตัวแรงขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีและช่วยลดกลิ่นตัวจากการสะสมของสารพิษในร่างกาย
- การใช้สมุนไพรหรือวิธีธรรมชาติ
- น้ำมันมะพร้าว: น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยลดกลิ่นตัวได้
- ใบชาเขียว: ใช้ชาเขียวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการขับเหงื่อและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- เบกกิ้งโซดา: เบกกิ้งโซดาช่วยดูดซับกลิ่นและลดการสะสมของแบคทีเรีย สามารถทาในพื้นที่ที่มีกลิ่นตัวแรงได้
- การรักษาปัญหาสุขภาพที่เป็นสาเหตุ
- หากกลิ่นตัวมีความรุนแรงหรือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น การติดเชื้อในร่างกาย, โรคเบาหวาน, หรือความผิดปกติของต่อมเหงื่อ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษา
- การดูแลร่างกายจากภายใน เช่น การรักษาสมดุลฮอร์โมนและการควบคุมภาวะเครียด
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- หลีกเลี่ยงการเครียด: ความเครียดสามารถทำให้เหงื่อออกมากขึ้นและอาจเพิ่มกลิ่นตัวได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้ร่างกายขับสารพิษออกได้ดียิ่งขึ้น
ถ้าทำหมดทุกข้อแล้วยังมีกลิ่นตัวเหมือนเดิม ลองแบบนี้!
หากได้ลองวิธีต่างๆ ที่แนะนำไปแล้ว แต่ยังคงมีกลิ่นตัวแรงอยู่ อาจต้องพิจารณาสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เพิ่มเติมครับ
- ไปพบแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพ
หากกลิ่นตัวยังคงแรงแม้คุณจะดูแลตัวเองดีแล้ว อาจมีปัญหาทางการแพทย์ที่ทำให้เกิดเหงื่อออกมากหรือกลิ่นตัว เช่น:
- ภาวะการขับเหงื่อมากผิดปกติ (Hyperhidrosis): เป็นภาวะที่มีการขับเหงื่อมากเกินไปโดยไม่สามารถควบคุมได้
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง: เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ผิวหนังอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
- ภาวะทางฮอร์โมน: เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น, วัยหมดประจำเดือน หรือโรคต่อมไทรอยด์อาจส่งผลให้เหงื่อและกลิ่นตัวเพิ่มขึ้น
- โรคเบาหวาน: อาจทำให้ร่างกายมีกลิ่นตัวจากสารคีโตนที่เกิดจากกระบวนการเมตาบอลิซึม
- โรคตับหรือไต: การทำงานของตับหรือไตที่ผิดปกติอาจส่งผลให้มีการสะสมของสารพิษในร่างกายที่ออกมาผ่านเหงื่อ
- การใช้ยาระงับเหงื่อ (Antiperspirants) ที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์
- ถ้าการใช้โรลออนทั่วไปไม่สามารถช่วยลดเหงื่อและกลิ่นได้ ควรลองใช้ ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ ซึ่งช่วยลดการผลิตเหงื่ออย่างมีประสิทธิภาพ
- อลูมิเนียมคลอไรด์เป็นสารที่ช่วยบล็อกต่อมเหงื่อและสามารถใช้ได้สำหรับผู้ที่มีเหงื่อออกมากเกินไป
- การรักษาภาวะขับเหงื่อมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
- ถ้าคุณมีภาวะ ขับเหงื่อมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) ที่ทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัว คุณสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษา เช่น การใช้ยาฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือการทำศัลยกรรมที่ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ
- การทำ การบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้า (Iontophoresis) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดเหงื่อ
- การตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุที่เกี่ยวกับสุขภาพ
- หากมีปัญหากลิ่นตัวที่รุนแรงและไม่สามารถหาสาเหตุได้จากการดูแลทั่วไป การตรวจเลือดเพื่อหาปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน, การติดเชื้อ, หรือปัญหาทางฮอร์โมน จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง
- การใช้สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- ยาสมุนไพร: บางสมุนไพรมีคุณสมบัติช่วยในการลดกลิ่นตัว เช่น ชาคาโมมายล์ หรือ ชาดำ ที่ช่วยลดการขับเหงื่อ
- การทานอาหารเสริม: บางคนอาจได้รับประโยชน์จากการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดกลิ่นตัวที่เกิดจากการย่อยอาหาร
- การรักษาด้วยเทคโนโลยีการเลเซอร์
- ในกรณีที่มีปัญหากลิ่นตัวจากเหงื่อมากผิดปกติ, การรักษาด้วยเลเซอร์ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดปัญหาการขับเหงื่อได้ โดยการยิงเลเซอร์ไปที่ต่อมเหงื่อเพื่อทำลายมัน
สรุป
ถ้าเราสามารถรักษาไม่ให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อที่มากเกินไป และผลิตโปรตีนกับไขมันที่ทำให้แบคทีเรียมาทำให้เกิดกลิ่นได้ กลิ่นตัวของเราก็จะหมดไปครับ และวิธีการรักษาก็สามารถอ่านได้ด้านบนเลย